อาจแยกพิจารณาความรับผิดเพื่อละเมิดอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นได้ดังนี้
๑.
นายจ้างรับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้าง
๒.
ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน
๓.
ผู้ว่าจ้างรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้รับจ้าง
๔.
บิดามารดาหรือผู้อนุบาลรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
๕.
ครูบาอาจารย์นายจ้างหรือบุคคลผู้รับดูแลรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
๖.
ผู้ร่วมกันทำละเมิดรับผิดร่วมกัน
๗.
นิติบุคคลรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคล
๘.
หน่วยงานของรัฐรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่
บทที่
๑ นายจ้างรับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้าง
มาตรา ๔๒๕ บัญญัติว่า “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด
ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”
นายจ้างกับลูกจ้างนั้นมีความสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างแรงงาน
(มาตรา ๕๗๕)
นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างก็เฉพาะแต่ในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น
ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้
๑.
ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น
๒.
ลูกจ้างกระทำละเมิดในระหว่างที่เป็นลูกจ้าง
๓.
ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง
บทที่
๒ ตัวการรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวแทน
มาตรา ๔๒๗ บัญญัติว่า “บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้นท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม”
เนื่องจากกิจการที่ตัวแทนทำเป็นงานของตัวการ
กฎหมายจึงบัญญัติให้ตัวการร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนได้กระทำไปในการกระทำกิจการแทนตัวการ
โดยอนุโลมบังคับเช่นเดียวกับนายจ้างลูกจ้าง
๑.
ตัวการ คือ
บุคคลซึ่งมอบอำนาจหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำกิจการแทนตน
๒.
ตัวแทน คือ บุคคลซึ่งมีอำนาจทำการแทนตัวการตามสัญญาหรือตามที่มอบหมายและกิจการนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่สาม
บทที่
๓ ผู้ว่าจ้างรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้รับจ้าง
มาตรา ๔๒๘ บัญญัติว่า “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง
เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้
หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”
ผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างมีความสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างทำของ
(มาตรา ๕๘๗) กล่าวคือผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำงานตามสัญญาให้แก่ผู้ว่าจ้างจนสำเร็จ
และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
ตามปกติผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้รับจ้าง
เพราะผู้ว่าจ้างต้องการเพียงผลสำเร็จแห่งงาน ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง
ผู้รับจ้างมีอิสระในการปฏิบัติงาน มิได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าจ้าง
เมื่อผู้รับจ้างกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น จึงต้องรับผิดในการกระทำของตนเองผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
บทที่
๔ บิดามารดาหรือผู้อนุบาลรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
มาตรา ๔๒๙ บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด
บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความะมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”
ตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลผู้ไร้ความสามารถต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถด้วย
ผู้ไร้ความสามารถตามมาตรานี้ จำกัดเฉพาะผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริต
จึงไม่หมายความรวมถึงคนเสมือนไร้ความสามารถ ขอแยกพิจารณาเป็น ๒ กรณี คือ
๑.
ผู้เยาว์กระทำละเมิด
๒.
บุคคลวิกลจริตกระทำละเมิด
บทที่
๕ ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลผู้ดูแลรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
มาตรา ๔๓๐ บัญญัติว่า “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง
หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดีชั่วครั้งคราวก็ดีจำต้องรบผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด
ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน
ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”
ตามบทบัญญัติดังกล่าว
กำหนดให้ผู้รับดูแลซึ่งมีหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถตามข้อเท็จจริง
ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
๑.
ผู้ไร้ความสามารถ หมายความถึงผู้เยาว์
และบุคคลวิกลจริตไม่ว่าศาลจะมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือไม่ก็ตาม
แต่ไม่หมายความรวมถึงคนเสมือนไร้ความสามารถ
๒.
ผู้รับผิด ได้แก่ ครูบาอาจารย์ นายจ้าง
หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแกผู้ไร้ความสามารถนั้น อันเป็นหน้าที่ดูแลตามข้อเท็จจริง
ไม่ว่าการดูแลนั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วครั้งคราว
บทที่
๖ ผุ้ร่วมกันทำละเมิดรับผิดร่วมกัน
มาตรา ๔๓๒ บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด
ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น
ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น
คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่ง
บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด
ท่านก็ให้ถือวาเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย
ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น
ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์
ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”
การกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นอาจเกิดจากการกระทำของบุคคลหลายคนซึ่งกระทำร่วมกัน
หรือต่างคนต่างกระทำ อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
๑.
การร่วมกันทำละเมิดตามมาตรา ๔๓๒
๒.
การทำละเมิดโดยต่างคนต่างทำ๗
_______________
๗. ศักดิ์ สนองชาติ,อ้างแล้วเชิงอรรถที่ ๑,หน้า ๘๖-๑๒๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น